tag:blogger.com,1999:blog-68018619997648451232024-03-13T08:27:32.271-07:00kannikanuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.comBlogger6125tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-43945576267208327362008-01-18T03:13:00.000-08:002008-11-15T10:47:04.693-08:00ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย<div><strong><span style="font-size:180%;">เครื่องรดน้ำสิงหนาท</span></strong><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5156775728329296242" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOjJ_QK1vRQf69hc7GhBASKyPGLyVnLvj8ImvfUfU1LpvPnHiFiRpRp9mRnAZX7iakK6WrUSGRGNt_BrTolcMtYhpIUgeXiW4dCc4rBY1d5JtseXywdxMQmKRQdMYYK5QjF9mgPoKRpbtM/s200/trd40301.gif" border="0" /><br /><div><span style="font-size:180%;"><strong></strong></span></div><br />เครื่องรดน้ำสิงหนาท เป็นเครื่องทุ่นแรงคุณภาพเยี่ยม สามารถให้น้ำต้นไม้ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยคนควบคุม ราคาประหยัด สามารถทำใช้ได้เอง<br />ลักษณะและวิธีใช้<br />1. นำดินใส่ลงไปในกระบะที่ใส่ยาง ดินที่ใช้จะต้องเป็นดินที่อยู่ในสวนที่ต้องการให้น้ำนั้นเอง เพราะจะได้มีการระเหยของน้ำ เหมือนกับพื้นที่สวนนั้น ๆ หากดินในสวนแห้งดินในกระบะก็จะแห้งด้วย การที่ดินในกระบะเบา ลูกตุ้มที่ใช้คอนกรีตผสมใส่กระป๋อง ไว้แล้วนั้น ก็จะกดลงทำให้เหล็กกระเดื่องกดสวิชท์เป็นเหตุให้วงจรปิด ไฟฟ้าเดินติดต่อกันได้ มอเตอร์ก็จะทำงาน ทำให้ดูดน้ำใน แหล่งน้ำไปรดต้นไม้ได้ต่อไป<br />2. การทำกระบะใส่ดินต้องเจาะรูกระบะเล็กน้อย เพื่อต้องการให้เหมือนกับเมื่อให้น้ำแล้วน้ำก็จะซึมลงไปในดิน และจะต้องตั้ง อุปกรณ์นี้ในที่แจ้งเพราะต้องอาศัยแสงแดดเผาดินในกระบะให้ระเหยด้วย ข้อสังเกตจะเห็นได้ว่าเมื่อเวลามีฝนตกทั้งวันเครื่องจะไม่ทำงาน เพราะน้ำฝนเข้าไปอยู่ในกระบะทำให้ดินในกระบะชุ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ลูกตุ้มก็จะไม่กดลง เมื่อลูกตุ้มไม่กดมอเตอร์ก็จะไม่ทำงาน<br />3. ระบบการเดินของน้ำ เมื่อมอเตอร์ทำงาน น้ำก็จะวิ่งไปตามท่อให้น้ำต้นไม้ที่ต่อไว้นั้น ในขณะเดียวกันน้ำก็จะผ่านหัวฉีดไปยัง กระบะ เมื่อน้ำผ่านหัวฉีดไปยังกระบะอิ่มตัว กระบะก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ทำให้กระบะกดลง วงจรสวิทช์ก็จะเปิดทำให้ไฟฟ้าตัดมอเตอร์ ไม่ทำงาน เป็นวงจรอย่างนี้ตลอดไป<br />ข้อสังเกต<br />หากวันใดอากาศร้อนจากแสงแดด ต้นไม้จะมีการคายน้ำมาก ดินในสวนและ ดินในกระบะจะถูกเผาน้ำให้แห้งเร็ว มอเตอร์ก็จะทำงานบ่อยครั้ง หากวันใดไม่มี แสงแดดหรือฝนตกมอเตอร์ก็จะทำงานน้อย หรือไม่ทำทำงานเลยทั้งวัน สำหรับลูกตุ้มและ กระบะดิน สามารถเลื่อนหาจุดสมดุลย์ได้ หากคำนวณดูว่าต้นไม้ต้องการน้ำมาก ก็จะเลื่อนลูกตุ้มออกไปทางปลายให้มาก มอเตอร์ก็จะทำงานบ่อยขึ้นหรือจะเจาะรูใต้ กระบะให้ใหญ่ขึ้นก็ได้ การปรับหัวฉีดน้ำหรือปรับขดวาวล์ก็มีส่วนช่วยให้การรดน้ำได้ช้าหรือเร็วได้ การติดตั้งนั้นจะต้องตั้งเวลา หรือคำนวณเวลาในการให้น้ำให้ได้เสียก่อน เพื่อดูความแห้งของดอน ความรั่วของน้ำที่ใต้กระบะด้วย และสิ่งที่ต้องคอยดูแลบ่อย ๆ คือ เมื่อไฟฟ้าดับ เพราะการไฟฟ้าดับเป็นเวลายาวนานถึง 6 ชั่วโมง การให้น้ำก็จะนานขึ้นเพราะดินในกระบะมีความแห้งมาก<br />ประโยชน์<br />1. ลดแรงงานที่จะต้องไปดูแลการให้น้ำสวนผลไม้ทุกวัน<br />2. การให้น้ำสวนผลไม้สม่ำเสมอตามสภาพดินฟ้าอากาศของสวนผลไม้นั้น<br />3. ประหยัดน้ำมากเพราะใช้แบบหัวฉีดพ่นเป็นละออง<br />4. ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เหลือใช้นำมาประดิษฐ์ เช่น หัวฉีดยาฆ่าแมลง ท่อส่งน้ำ และกระป๋องนม<br />5. สามารถปรับใช้งานอื่น ๆ ได้อีก นอกจากการให้น้ำผลไม้แล้ว<br />6. เป็นการเพิ่มความรู้ให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่นให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัด และต้นทุนต่ำ<br />ประโยชน์ต่อชุมชน คือ คุณสิงหนาท แสงประทุม ได้เผยแพร่แนวความคิดนี้ให้แก่เกษตรกรนักวิชาการ และผู้สนใจโดยทั่วไป นำไปพัฒนาใช้ในวงการเกษตรต่อไป<br /><br /><div><span style="font-size:180%;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-size:180%;"><strong>พัดใบพ้อ</strong></span></div><br /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5156773602320484658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 147px; CURSOR: hand; HEIGHT: 125px; TEXT-ALIGN: center" height="140" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh40zGql0k3JvnUgOiuc7xwxe1Kl-mBN7VSUHaQtJi1FdwzYuWMkCB6DlpL_093FzjbR_ZP5BotiqDtGRXC7lw1hrkTA-lt-aehLT9vtij0rUqEaZpsiuwNL7QcFwbKegS9a2MkV-LQWZDP/s200/pad.jpg" width="165" border="0" /><br /><br /><div>ใบพ้อ หรือใบกะพ้อ เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลักษณะใบเป็นรูปพัด ชาวบ้านในภาคใต้นำใบกะพ้อมาจักสานเป็นพัด เรียกว่า "พัดใบกะพ้อ" หรือ "พัดใบพ้อ" ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมจักสานประเภทหนึ่งที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาชาวบ้าน นับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาคใต้ โดยเฉพาะในอำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ผลิตกันจนมีชื่อเสียงในเรื่องพัดใบพ้อ ก็คือหมู่บ้านโคกยาง<br />ในระยะแรกชาวบ้านร่วมกันจัดหาวัตถุดิบที่มีอยู่มาประดิษฐิ์และหาตลาดจำหน่ายไปตามหัวเมืองภาคใต้ ต่อมาได้นำสินค้าไปขายที่กรุงเทพฯ ผลปรากฎว่าได้รับการตอบรับดีมากทำให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้จำนวน มาก ต่อมามีการพัฒนา ฝือมือ รูปแบบ และสีสรร รวมทั้งวัตถุดิบก็ได้พัฒนามาใช้เส้นใยสังเคราะห์มากขึ้น การตลาดก็มีการขยายวงกว้าง มีลูกค้า และพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่</div><br /><br /><div><strong><span style="font-size:180%;">การกวาดยา<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5156775088379169122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoBg68T4JfOoycsAwRvQrgdhzdXNXrRbjTDxmK7CCpBkDQCNZpJePlVwxgVi19dejV76k0LdQ08lcnqP8r7jt71qVulkwMXd68lgMnBWupk3yUJYZWrkGji4x4G-fAUhPTLRES1sCJfu1Y/s200/trd40201.gif" border="0" /></span></strong><br />การกวาดยา คือการเอายาป้ายในลำคอโดยใช้นิ้วมือ ซึ่งโดยปกติจะใช้นิ้วชี้ของมือขวาแต่สำหรับหมอโบราณที่รับรักษาโดยการ กวาดยาอาจใช้นิ้วอื่น ๆ รวม 4 นิ้ว กวาดยาได้ ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น<br />สำหรับนิ้วที่ใช้กวาดยานั้น มีความเชื่อต่างกัน บ้างก็ว่าต้องเป็นนิ้วที่มีลายก้นหอย จึงจะใช้กวาดยาได้ บ้างก็ว่าต้องมีเส้นชีวิตยาว จรดโคนนิ้วจะเป็นหมอกวาดยาที่ฉมัง บ้างก็ว่านิ้วที่จะใช้กวาดยาได้ดีที่สุดต้องไปกวาดคอจระเข้ก่อน<br />วิธีใช้<br />ใช้กวาดคอเด็กอายุประมาณ 6 เดือน ถึง 3 ขวบ โรคที่ใช้การรักษาด้วยการ กวาดยา คือ โรคซาง ซึ่งเด็กที่เป็นโรคนี้ จะมีลักษณะเกิดเป็นเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า มีอาการทั่ว ๆ ไป ที่สังเกตเห็นได้ เช่น ไม่กินข้าว ปวดหัวและตัวร้อน หรือใช้การกวาดยาในกรณีที่เด็กมีอาการไอ มีเสมหะมาก<br />หมอจะใช้ยาเม็ดบดให้ละเอียดโดยใช้ครกบดยา ใส่มะนาว พิมเสน และเกลือเม็ดเป็นกระสายบดให้ละเอียดและเข้ากันดี ใช้นิ้วชี้ป้ายยาไว้ที่ปลายนิ้ว ผู้ปกครองจะอุ้มเด็กนอนหงายซึ่งเด็ก ๆ ไม่ชอบ ก็จะอ้าปากร้องไห้ หมอจะใช้จังหวะนี้จับกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างของเด็กไว้มิให้หุบปากได้ พร้อมทั้งเอานิ้วที่มียาแหย่เข้าปากและป้ายลงไปในลำคอโดยเร็ว เมื่อหมอกวาดยาเสร็จแล้วจะต้องทำใจให้เป็นสมาธิ กล่าวคาถาและ เป่ากระหม่อมให้เด็ก สำหรับคาถาต่างครูก็ว่าต่างกันไป แต่มีใจความสำคัญว่า "ขอให้โรคภัยของเด็ก ๆ หายไป" </div></div></div>nuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-19228329121266038872007-12-04T07:53:00.000-08:002008-11-15T10:47:06.479-08:00ในหลวงของเรากับเทคโนโลยี<strong><span style="font-size:130%;">ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์</span><br /></strong><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWltBhgcyX8nouRX3hWdJ1AOs1N8K-JSQzRvt-mAXW7GiVU_9TAyIg_8Jau7Yljieu6mo78mSCfHRqdzRILTYlnTEa_GtoL72o0YSm8tt-L3puBZVoyjqwYHCs0ujwuxmGvMl6vkDSs5eN/s1600-h/com.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5140154329030680642" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWltBhgcyX8nouRX3hWdJ1AOs1N8K-JSQzRvt-mAXW7GiVU_9TAyIg_8Jau7Yljieu6mo78mSCfHRqdzRILTYlnTEa_GtoL72o0YSm8tt-L3puBZVoyjqwYHCs0ujwuxmGvMl6vkDSs5eN/s200/com.jpg" border="0" /></a><br />พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สนพระทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในด้านส่วนพระองค์นั้น ทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงาม เพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ ทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ ทั้งยังทรงเคยประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรปวงชนชาวไทย<br />พระองค์ทรงสนพระทัยคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากขณะเสด็จพระราชดำเนินชมงานนิทรรศการต่างๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พระองค์สนพระทัยซักถามอาจารย์และนักศึกษาที่ประดิษฐ์ซอฟต์แวร์ต่างๆ อย่างละเอียดและเป็นเวลานาน<br /><strong><span style="font-size:130%;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:130%;">พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม</span></strong><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLiEESWLnP2W58hg0OhHoFinrsAQk8Cvug3SMzUfrZC2wHMz-njbcmt0UqELnApZNRsYim-ifkcGpNHmCVidgIIRdSFjx-L8IUeK9h4NA-sfB8Z0i4wNOdgGxUvqBJkjuIkLUEXUlAmqkR/s1600-h/itkp38.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5140153654720815154" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLiEESWLnP2W58hg0OhHoFinrsAQk8Cvug3SMzUfrZC2wHMz-njbcmt0UqELnApZNRsYim-ifkcGpNHmCVidgIIRdSFjx-L8IUeK9h4NA-sfB8Z0i4wNOdgGxUvqBJkjuIkLUEXUlAmqkR/s200/itkp38.jpg" border="0" /></a><br />ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนองพระราชดำริในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหินซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคมเข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าวเป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร<br /><br /><div align="left"><strong><span style="font-size:130%;">พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ .<br /></span></strong><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgndKR9A4mgb0Y3KfcRUI7oY59jgC_c9yrMJ-P6qPrJcqPSbenSOtwSG1aWDC_ECN1k7n6v5z7NgvMvstP-lZMnC7ValHChgwfLkLl1-j5vmwRG8qbsAzx816Ga99fvM5VK6lw7USPX2M1/s1600-h/tripeedok.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5140145945254518818" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgndKR9A4mgb0Y3KfcRUI7oY59jgC_c9yrMJ-P6qPrJcqPSbenSOtwSG1aWDC_ECN1k7n6v5z7NgvMvstP-lZMnC7ValHChgwfLkLl1-j5vmwRG8qbsAzx816Ga99fvM5VK6lw7USPX2M1/s200/tripeedok.jpg" border="0" /></a><br />ในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 1,472,900 บาท ในเดือนพฤษภาคม 2534 ให้มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎก และอรรถกถาต่อเนื่องจากโครงการพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์เดิม ที่มหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาเสร็จแล้ว และได้ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสรัชมังคลาภิเษก 2 กรกฎาคม 2531 ทรงเห็นว่าโครงการนี้ควรได้รวบรวมเอาชุดอรรถกถาและฎีกาเข้าไว้ด้วยกัน นับเป็นโครงการที่นำวิทยาการชั้นสูงมาประยุกต์ใช้กับข้อมูลเนื้อหาทางด้านพุทธศาสนา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับคอมพิวเตอร์นี้ด้วยพระองค์เอง และมีพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชวิจารณ์ในการออกแบบโปรแกรมสำหรับใช้ในการสืบค้นข้อมูลในฐานะแห่งองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก การครั้งนี้กล่าวได้ว่า เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนยาวนานสืบไปในอนาคตกาล</div>nuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-70684938930332102992007-12-03T21:29:00.000-08:002008-11-15T10:47:06.486-08:00แบบฝึกหัดเรื่องการสื่อความหมายแบบฝึกหัด การสื่อความหมาย<br />1. คำว่า Communis แปลว่า คล้ายคลึง หรือ ร่วมกัน<br />2. การสื่อความหมาย หมายถึง กระบวนการส่งหรือถ่ายทอดความรู้ เนื้อหา สาระ ตลอดจนประสบการณ์จาก"ผู้ส่ง" ไปยัง"ผู้รับ"<br />3. Sender - Message - Channel - Reciever<br />4. สาร หมายถึง เนื้อหา สาระ ความรู้สึก ทัศนคติ ทักษะ ประสบการณ์ ที่มีอยู่ในตัวผู้ส่ง หรือแหล่งกำเนิด<br />5. Elments หมายถึง องค์ประกอบย่อยๆ พื้นฐานที่จำเป็นต้องมีตัวอย่าง เช่น สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ หรือสีแดง สีเหลือง เป็นต้น<br />6. Structure หมายถึง โครงสร้างที่เกิดจากการนำเอาองค์ประกอบย่อยๆ มารวมกันตัวอย่าง เช่น คำ ประโยค หรือสีสันของรูปร่าง รูปทรง ฯลฯ<br />7. Content หมายถึง ข้อมูลที่เป็นความรู้สึกนึกคิดความต้องการของผู้ส่งตัวอย่าง เช่น จะทำอย่างไรให้ผู้รับสารเข้าใจเกี่ยวกับสารให้มากที่สุด<br />8. Treatment หมายถึง วิธีการเลือก การจัดรหัส และเนื้อหาให้อยู่ในรูปแบบที่จะสามารถถ่ายทอดความต้องการของผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น แชมพูที่มี Treatment เพื่อไว้บำรุงผม แต่ในที่นี้หมายถึงรูปแบบของการสื่อความหมาย (Style)<br />9. Code หมายถึง กลุ่มสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาจัดแทนความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ตัวอย่าง เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ดนตรี ภาพวาด กิริยาท่าทาง ฯลฯ<br />10. อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงดังรบกวน อากาศร้อน กลิ่นไม่พึงประสงค์ แสงแดด ฝนสาด ฯลฯ<br />11. อุปสรรคหรือสิ่งรบกวนภายใน เช่น ความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว อาการเจ็บป่วย ความวิตกกังวล ฯลฯ<br />12. Encode หมายถึง ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการเข้ารหัส หรือแปลความต้องการของตนเป็นสัญลักษณ์หรือสัญญาณต่างๆ ได้<br />13. Decode หมายถึง ผู้รับสารขาดความสามารถในการถอดรหัสสาร อันเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้<br />1. อุปสรรคด้านภาษา (Verbalism)<br />2. ความขัดแย้งกับประสบการณ์เดิม (Referent Confusion)<br />3. ขีดจำกัดของประสาทสัมผัส (Limited Perception)<br />4. สภาพร่างกายไม่พร้อม (Physical Discomfort)<br />5. การไม่ยอมรับ<br />6. จินตภาพ (Image) ไม่ตรงกันกับผู้ส่งสาร<br />14. จงอธิบายการสื่อความหมายในการเรียนการสอนมาให้ครบถ้วนและถูกต้อง กระบวนการเรียนการสอนเป็นกระบวนการสื่อความหมายอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้<br />ครู - เนื้อหา,หลักสูตร - สื่อหรือช่องทาง - นักเรียน และผลย้อนกลับ<a href="http://4.bp.blogspot.com/_RPhHp8QipqA/R1A1_cdsIKI/AAAAAAAAAIQ/oaQwzjTncEo/s1600-R/à¸à¸²à¸£à¸šà¹‰à¸²à¸™.jpg"></a><br />15. จงอธิบายถึงความล้มเหลวของการสื่อความหมายในการเรียนการสอน กระบวนการเรียนการสอนมักจะประสบความล้มเหลวบ่อยๆ เนื่องจากอุปสรรคหลายประการดังนี้<br />1. ครูผู้สอนไม่บอกวัตถุประสงค์ในการเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อนลงมือสอน ทำให้ผู้เรียนขาดเป้าหมายในการเรียน<br />2. ครูผู้สอนไม่คำนึงถึงข้อจำกัดและขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน จึงมักใช้วิธีสอนแบบเดียวกันทุกคน<br />3. ครูผู้สอนไม่สนใจที่จะจัดบรรยากาศ ขจัดอุปสรรคและสร้างความพร้อมแก่ผู้เรียนก่อนลงมือสอน<br />4. ครูผู้สอนบางคนใช้คำยาก ทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายของคำ และเนื้อหาโดยรวม<br />5. ครูผู้สอนมักนำเสนอเนื้อหากวน สับสน รวดเร็ว ไม่สัมพันธ์ต่อเนื่อง กระโดดไปมาทำให้เข้าใจยาก<br />6. ครูผู้สอนไม่สนใจที่จะใช้สื่อการสอนหรือเลือกใช้สื่อการสอนไม่เหมาะสมกับเนื้อหา และระดับของผู้เรียน<br />ดังนั้นในกระบวนการเรียนการสอนจึงควรคำนึงถึงอุปสรรคต่างๆ และพยายามขจัดให้หมดไป เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นnuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-26804579037885842007-11-12T05:55:00.000-08:002007-11-12T05:55:01.539-08:00นวัตกรรม<span style="font-family:courier new;font-size:85%;"><strong>แนชันแนลสตาร์ชเปิดตัว “ฟู้ด อินโนเวชั่น” ชูภาพลักษณ์ผู้นำนวัตกรรมอาหาร<br />Source - Press Release, Local (Th/Eng)<br />Tuesday, February 15, 2005 17:31<br />กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์<br /></strong><br /> แนชันแนลสตาร์ช ปรับโฉมใหม่ เปลี่ยนชื่อส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเป็น “ฟู้ด อินโนเวชั่น” หวังตีตราจองตำแหน่งผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร เร่งพัฒนาสินค้าใหม่บุกตลาดอาหารเสริมสุขภาพในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ชูสินค้าหลัก “ไฮ-เมซ” ร่วมวิจัยกับพันธมิตรในเอเชีย<br /><br /> บริษัทแนชันแนลสตาร์ช แอนด์เคมิคอล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำระดับสากล ที่มีฐานการผลิตทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย เปลี่ยนชื่อส่วนผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัท (Food Products Division) ภายใต้ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า “แนชันแนล สตาร์ช ฟู้ด อินโนเวชั่น” (National Starch Food Innovation) เพื่อเน้นถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในการคิดค้นและผลิตนวัตกรรมอาหารในระดับนานาชาติ โดยจะเริ่มเปิดตัวในชื่อใหม่และใช้โลโก้ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป<br /> มร. เจฟฟรี่ย์ ลอเรนท์ รองประธานแนชันแนลสตาร์ชแอนด์เคมิคอล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า การเปลี่ยนชื่อของส่วนผลิตภัณฑ์อาหารในครั้งนี้ ก็เพื่อสะท้อนภาพของความก้าวหน้าในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมอาหารของบริษัท ซึ่งปัจจุบันก้าวไปไกลกว่าการผลิตแป้งและเส้นใยอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปแต่เดิมเป็นอย่างมาก ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี ทางบริษัทได้ริเริ่มการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่เสริมคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อการดัดแปลงและคงสภาพอาหาร รวมทั้งคาร์โบไฮเดรตเสริมสุขภาพอีกด้วย โดยชื่อใหม่จะแสดงให้เห็นถึงภารกิจและศักยภาพที่แท้จริงของบริษัท ในการพัฒนานวัตกรรมส่วนประกอบของอาหาร และตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค<br /> “ทางบริษัทต้องการให้ลูกค้าในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารมองเห็นว่า แนชันแนลสตาร์ชมีความพร้อมในการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และตอบสนองต่อความต้องการล่าสุดของตลาดได้เป็นอย่างดีด้วย” มร. ลอเรนท์ กล่าวเสริม<br /> นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สุขภาพ อาหารธรรมชาติ และอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษทางด้านความแปลกใหม่ของรสชาติและผิวสัมผัสอีกด้วย โดยเฉพาะตลาดอาหารเสริมสุขภาพและอาหารชีวภาพนั้น กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารปลอดสารปรุงแต่งและสารกันบูด มีเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 50 ทั่วโลกภายในระยะเวลาเพียงสองปีที่ผ่านมา โดยการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกต้องการอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มสูงขึ้น โดยไม่ต้องการให้อาหารมีรสชาติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก<br /> “ความต้องการของตลาดดังกล่าว นับว่าเป็นเรื่องท้าทายต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารยุคใหม่อย่างยิ่ง ซึ่งเราสามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องยากหากจะทำให้อาหารมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้นโดยไม่เสียรสชาติและคุณสมบัติที่พึงประสงค์ด้านอื่นๆไป รวมทั้งยังสามารถเติมสารอาหารที่มีคุณค่าต่อสุขภาพซึ่งผ่านการรับรองทางการแพทย์แล้วได้อีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมของแนชันแนลสตาร์ชจะสามารถช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตได้” มร. พอล บอร์ดฟุต ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาโภชนาการและธุรกิจของแนชันแนลสตาร์ชแอนด์เคมิคอลกล่าว<br /> ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์หลักของแนชันแนลสตาร์ชที่จำหน่ายในภูมิภาคเอเชียได้แก่ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารไฮ-เมซ(Hi-maize?) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารไม่ละลายน้ำที่มีการจำหน่ายเชิง พาณิชย์ตัวแรกของโลก โดยเป็นเส้นใยอาหารที่ผลิตจากข้าวโพด ซึ่งผ่านกระบวนการวิจัยทางการเกษตร รวมทั้งกระบวนการผลิตและแปรรูปในประเทศออสเตรเลีย ไฮ-เมซจะทำหน้าที่เป็นเส้นใยอาหารเมื่ออยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับชี้ให้เห็นว่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย ช่วยควบคุมปริมาณอินซูลิน ควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งป้องกันโรคมะเร็งและเบาหวานอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันแนชันแนลสตาร์ชได้ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตอาหารหลายรายในภูมิภาคเอเชียในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยใช้ไฮ-เมซเป็นส่วนประกอบ<br /> ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารไฮ-เมซ ได้รับรางวัลจากสถาบันนักเทคโนโลยีการอาหารนานาชาติเมื่อปี 2546 รวมทั้งรางวัลจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารออสเตรเลียในปี 2538 ส่วนผลิตภัณฑ์แป้งดิบเสริมคุณค่าอาหาร NOVATION? ของแนชันแนลสตาร์ชได้รับรางวัลจากสถาบันนักเทคโนโลยีการอาหารนานาชาติเมื่อปี 2541 โดยบริษัทยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งและเส้นใยอาหารดัดแปลงตัวแรกของวงการ ที่นำไปสู่ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็งและอาหารบรรจุกระป๋องในช่วงปี 2490 ถึงปี 2500 ทั้งยังเป็นผู้ผลิตเส้นใยอาหารสำเร็จรูปตัวแรกที่ให้ประโยชน์จากแป้งปรุงสุก และเป็นผู้ผลิตแป้งดิบและแป้งชีวภาพเสริมสุขภาพตัวแรก (NOVATION? และ NOVATION Prima) ที่ใช้งานในการคงสภาพอาหารอีกด้วย<br /></span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:85%;">เกี่ยวกับแนชันแนลสตาร์ช ฟู้ด อินโนเวชั่น<br /> แนชันแนลสตาร์ช ฟู้ด อินโนเวชั่น เป็นผู้นำในการผลิตนวัตกรรมอาหารจากธรรมชาติเพื่อวงการอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก โดยเป็นผู้ผลิตสารเพิ่มความหนืด สารเพิ่มผิวสัมผัส สารคงสภาพอาหาร เส้นใยอาหารไม่ละลายน้ำ และเส้นใยอาหารเสริมสุขภาพชนิดต่างๆ ซึ่งเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและความพึงพอใจในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด</span><br /><span style="font-family:Courier New;font-size:85%;"></span><br /><span style="font-family:Courier New;font-size:85%;"> <strong>เหตุผลที่ดิฉันสนใจนวัตกรรมนี้ เนื่องจากประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหาร ไฮ-เมซ มีประโยชน์ต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยควบคุมปริมาณอินซูลิน ควบคุมน้ำหนัก และยังสามารถป้องกันโรคมะเร็งและโรคเบาหวานได้อีกด้วย</strong></span>nuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-78666783721155810872007-10-09T07:50:00.000-07:002008-11-15T10:47:06.735-08:00Teacher's Trip<div align="center"><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;"><strong>Rafting ล่องแก่ง !!!</strong></span></div><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivnhbdFsoZULvNlt4aJsneyv7aTNncoBtr4vLqiRlNFFRiU6YdbXyq7QfG2zR0wqqn-EX2RhrXbKv2vFfaxmsOoDorCecQRZr-CAEpSw0UCPSV7i3-788hstJCNyOTgHLLNet6P0Z83wJA/s1600-h/DSC04599.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5119339461964871154" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivnhbdFsoZULvNlt4aJsneyv7aTNncoBtr4vLqiRlNFFRiU6YdbXyq7QfG2zR0wqqn-EX2RhrXbKv2vFfaxmsOoDorCecQRZr-CAEpSw0UCPSV7i3-788hstJCNyOTgHLLNet6P0Z83wJA/s320/DSC04599.JPG" border="0" /></a></div><div align="center"> </div><div align="center"> <strong><span style="color:#cc33cc;">Kang - Ka - Jan Petchaburi</span></strong><br /><br /></div>nuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6801861999764845123.post-89582577240026311842007-10-09T06:45:00.000-07:002008-11-15T10:47:06.909-08:00ประวัติส่วนตัว<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrK2xORJF7UuFQVTt7J9JPae-AeOzMxRW1-tNzfSDalIgkrFnAuG6SpdwDKLn0FRFJTEeRiQUdgR0BTIpmfT2DWYmGUIRWW7ySy8McoLswPuGkYoxPSXnx02aRxFUdweFdBoy9b3785WSL/s1600-h/IMG_0268.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5119331451850864098" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrK2xORJF7UuFQVTt7J9JPae-AeOzMxRW1-tNzfSDalIgkrFnAuG6SpdwDKLn0FRFJTEeRiQUdgR0BTIpmfT2DWYmGUIRWW7ySy8McoLswPuGkYoxPSXnx02aRxFUdweFdBoy9b3785WSL/s320/IMG_0268.JPG" border="0" /></a><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2WvuYvEELdzVQvd5uEHUl3Nn2dYcmNuAz6776fIEeurGpH-uISN6nWMI4UKJh8YC3IHgra6wF4sTjE5SIRK9jfj-R3xF9wMx1ejrdVr-SIeEUB07CAz6Kfuj8sggCuS8HgxH5lzztviTB/s1600-h/Water+lilies.jpg"></a></p><br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#000099;"><strong>ดิฉันชื่อ กรรณิกา พินิจจันทร์<br /></strong><br /></span></span><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#000099;"><strong>เกิด วันที่ 25 ตุลาคม 2521<br /></strong><br /></span></span><span style="color:#000099;"><span style="font-family:verdana;"><strong>ชอบสีชมพู<br /></strong><br /><strong>บ้านเกิดอยู่จังหวัด ชัยนาท </strong></span><br /><br /></span><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#000099;"><strong>จบปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารธุระกิจ<br /></strong><br /></span></span><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#000099;"><strong>ปัจจุบัน มีลูกชาย 1 คน อายุ 1 ขวบ 8 เดือน<br /></strong><br /><strong>สามีสอบได้เป็นนายร้อยตำรวจ </strong></span></span></div><div align="center"><strong><span style="font-family:Verdana;color:#000099;">ส่วนดิฉันได้เป็น...คุณนาย... แว้ว อิอิอิ....</span></strong></div>nuttakoolhttp://www.blogger.com/profile/04950908204240587053noreply@blogger.com0